ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

6เมืองโบราณใต้น้ำสุดลึกลับ


6เมืองโบราณใต้น้ำสุดลึกลับ
   
บนพื้นดินในโลกปัจจุบันคงมีน้อยที่ที่มนุษย์เรายังเข้าไม่ถึง ด้วยเทคโนโลยีมากมาย ทำให้เราสามารถเขาไปถึงที่อันตรายต่างๆได้ แต่ในทางกลับกัน โลกใต้น้ำยังคงเป็นดินแดนลับแลสำหรับมนุษย์ แม้ว่าเทคโนโลยีปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก แต่เรายังรู้เรื่องโลกใต้น้ำน้อยเหลือเกิน

และคุณเชื่อหรือไม่ ในดินแดนลับแลใต้บาดาลเหล่านี้ มีเมืองมนุษย์หลับไหลอยู่ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม อาจจะเป็นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือน้ำท่วมก็ตามแต่ สุดท้ายเมืองเหล่านี้ก็ได้จมลงไปอยู่ใต้ท้องทะเล รอวันที่เราจะไปค้นพบอยู่ ไปชมกันเลย

1. เมืองซือเฉิงหรือเมืองสิงโต เมืองโบราณใต้น้ำที่ถูกลืมในประเทศจีน
เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกลงไป 40 เมตรในทะเลสาบเฉียนเต่า เนื่องจากสถาปัตยกรรมอันงดงาม ทำให้ที่นี่กลายเป็นเป้าหมายของนักประดาน้ำจากทั่วโลก
ทะเลสาบเฉียนเต่าแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาอู๋ซือหรือเทือกเขาห้าสิงโต  และชื่อเมืองซือเฉิงก็ได้รับอิทธิพลมาจากที่ตั้งของมันด้วยเช่นกัน เมืองซื่อเฉิงแห่งนี้เคยเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในยุคราชวงค์ฮั่นตะวันออก ราวๆ ค.ศ.25 ถึง 200 และเป็นศูนย์กลางของมณฑลเจ้อเจียงอีกด้วย ว่ากันว่าเมืองนี้มีขนาดประมาณ 62 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว!!
สาเหตุที่เมืองนี้จมลงใต้น้ำก็เพราะว่า ทางรัฐบาลจีนได้สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำซินอันซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองนี้ในปี ค.ศ 1959 ทำให้เมืองนี้ค่อยๆจมลงสู่ใต้น้ำ และเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน


2. พระราชวังคลีโอพัตรา ในประเทศอียิปต์
คุณสามารถพบซากโบราณสถานแห่งนี้ได้ ในบริเวณชายฝั่งของเมืองอเล็กซานดรา ประเทศอียิปต์ พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อน แต่เกิดเหตุแผ่นดินไหว ทำให้ส่วนนี้ของเมืองจมลงสู่ทะเลเมื่อ 1500 ปีก่อน ปัจจุบัน มีโบราณวัตถุกว่า 140 ชิ้นถูกกู้ขึ้นไปโดยนักโบราณคดี
ในอนาคต ทางการของอียิปต์มีแผนจะสร้างพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำนบริเวณที่แห่งนี้ด้วย เก็บเงินรอไปชมกันได้เลย



3. เมืองใต้น้ำ Baiae ในประเทศอิตาลี
ในอดีต เมืองแห่งนี้เคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของเหล่าผู้มีฐานะและมีชื่อเสียง จนกระทั่งเมื่อ 1500 ปีก่อน ระดับน้ำก็ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้เมืองนี้อยู่ใต้น้ำโดยสมบูรณ์

ปัจจุบัน โบราณสถานแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักประดาน้ำ ผู้อยากเห็นซากอารยธรรมโบราณแห่งนี้
เราจะเห็นได้ว่า มีรูปปั้นตัวละครในเทพนิยายกรีกโรมันมากมาย อย่างเช่นโอดีซีอุสเป็นต้น


4. เมือง Port Royal ประเทศจาไมก้า
เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่บาปที่สุดแห่งหนึ่งที่โลกเคยมีมา เพราะมันเคยเป็นเมืองท่าของเหล่าโจรสลัด แน่นอน มันย่อมเต็มไปด้วยอบายมุขและสิ่งผิดกฎหมายมากมาย และนอกจากความบาปแล้ว เมืองนี้ยังเคยมีอุบัติภัยทางธรรมชาติที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในโลกที่เคยเกิดขึ้นมาอีกด้วย
ในปี 1692 เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง และเกิดคลื่นยักษ์ซึนามิตามมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่า 2,000 คน และส่วนหนึ่งของเมือง ก็จมลงสู่ใต้น้ำในทันที


5. นครทวารกะ ดินแดนของพระกฤษณะ
ถ้าใครเคยอ่านเรื่องศึกมหาภารตะ จะจำได้ว่าเมืองของพระกฤษณะซึ่งเป็นร่างอวตารร่างหนึ่งของพระนารายณ์ มีชื่อว่านครทวารกะ เมืองนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูอย่างมาก เพราะว่าถือว่าเป็นเมืองในตำนาน ที่ชาวฮินดูทุกคนควรไปสักการะ และลึกลงไปในอ่าวกว่า 40 เมตร คุณจะได้พบกับหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเมืองแห่งนี้เมื่อครั้งอดีต

6. ปิรามิดโยนากุนิจิม่าอันแสนลึกลับ ในประเทศญี่ปุ่น
ปิรามิดแห่งนี้ดึงดูดนักประดาน้ำจำนวนมากจากทั่วโลก ให้มาสำรวจทุกๆปี และยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่า ปิรามิดนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือมนุษย์สร้างขึ้นมา โดยมันมีอายุถึงราว 12,000 ปี

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ฝนกรด ศัตรูตัวร้ายของโบราณสถาน


ฝนกรด ศัตรูตัวร้ายของโบราณสถาน
ฝนกรด คือ ฝนที่มีความเป็นกรดสูง โดยมีค่า pH ต่ำกว่า 5.6 เกิดขึ้นเพราะในอากาศมีก๊าสซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ปริมาณมาก ซึ่งมักเกิดจากการกระทำของมนุษย์เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม ไอเสียจากรถยนต์ เมื่อละอองน้ำในอากาศทำปฏิกิริยากับก๊าสเหล่านี้ จึงเกิดเป็นกรดซัลฟิวริกและกรดไนตริก

ฝนกรดก่อใหเกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม โดยทำให้กินมีความเป็นกรด แหล่งน้ำเกิดมลพิษ ทำให้พืชและสัตว์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ นอกจากนี้ ฝนกรดยังทำให้สิ่งก่อสร้างและโบราณสถานต่างๆ เกิดความเสียหาย 

มีโบราณสถานหลายแห่งถูกฝนกรดกัดกร่อน ตัวอย่างเช่น วิหารพาเทนอน ในประเทศกรีซ ทัชมาฮาล ในประเทศอินเดีย พีระมิด ในประเทศอียิปต์ เพราะโบราณสถานเหล่านี้สร้างด้วยหินอ่อนหรือปูน ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตเมื่อฝนกรดตกลงมา ก็ละลายแคลเซียมคาร์บอเนตในหิน จึงทำให้สึกกร่อนเร็วกว่าที่ควร

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการป้องกันไม่ให้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่มีคุณค่าทางวิทยาศาสตร์สัมผัศกับฝนกรด เช่นสร้างสิ่งกำบัง หรือเคลื่อนย้ายไปไว้ในที่ปลอดภัย แต่วิธีที่ดีที่สุดคือลดและเลิกการกระทำที่ก่อใหเกิดก๊าสที่เป็นต้นเหตุของฝนกรด

จุดที่ลึกที่สุดในโลก ชาเลนเจอร์ ดีป


ชาเลนเจอร์ ดีป จุดที่ลึกที่สุดในโลก
ขณะที่ผู้คนนับพันสามารถไต่พิชิตยอดเขา เอเวอเรสต์ จุดสูงสุดของโลกได้ แต่มีมนุษย์เพียง 2 คนที่เคยดำดิ่งสัมผัสจุดที่ลึกที่สุดในโลก .. ชาเลนเจอร์ ดีป จุดที่ลึกที่สุดในโลก ร่องลึกมหาสมุทรมาเรียนา ห่างไปทางตะวันออกของฟิลิปปินส์

– จุดที่ว่าคือ ชาเลนเจอร์ ดีป (Challenger Deep)?อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เรียกว่า มาเรียนา เทรนช์ (Mariana Trench) หรือ ร่องลึกมหาสมุทรมาเรียนา ห่างไปทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ประมาณ 200 กิโลเมตร ร่องลึกแห่งนี้มีรูปคล้ายพระจันทร์เสี้ยว เหมือนเป็นรอยแผลของโลก

– แนวยาวของเทรนช์วัดได้ 2,500 กิโลเมตร และกว้าง 69 กิโลเมตร จุดที่ลึกที่สุดคือชาเลนเจอร์ ดีป มีความลึก 11 กิโลเมตร ถ้าเทียบกับสถานที่บนโลก ที่แห่งนี้จะมีขนาดความใหญ่กว่าพื้นที่แกรนด์แคนยอนถึง 120 เท่า และสูงกว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ถึง 1.6 กิโลเมตร

– ร่องลึกมหาสมุทรแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพื้นทะเลที่แยกยาว มาจากแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นมุดเข้าหากัน จนเกิดการปะทะ และกลายเป็นรอยแยกใต้มหาสมุทร

– ความลึกของมาเรียนาเทรนช์ มีการวัดครั้งแรกเมื่อปี 1875 โดยเรือรบหลวงแห่งสหราชอาณาจักร เอช เอ็ม เอส ชาเลนเจอร์ (H.M.S. Challenger) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประจำเรือวัดความลึกได้ที่ 4,475 ฟาธอม (ประมาณ 8 กิโลเมตร)

– จากนั้นในปี 1951 เรือ เอช เอ็ม เอส ชาเลนเจอร์ ทู (H.M.S. Challenger II) ก็กลับมาวัดใหม่ โดยใช้การหยั่งจากการสะท้อนของเสียง วัดความลึกได้ประมาณ 11 กิโลเมตร

-พื้นที่ส่วนใหญ่ของมาเรียนาเทรนช์เป็นเขตป้องกันของสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางทะเล (Marianas Trench Marine National Monument) ซึ่งในปี 2009 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ประกาศอนุญาตให้เข้ามาดำเนินการวิจัยได้
แต่ในส่วนของชาเลนเจอร์ ดีปเป็นเขตปกครองของประเทศไมโครซีเนีย (Federated States of Micronesia) ที่ทีมสำรวจจุดลึกสุดในโลก ต้องขออนุญาตทำงานวิจัยผ่านหน่วยงานรัฐบาลของไมโครซีเนียก่อน

สมกับที่เป็นสุดยอดนักเขียนบทและผู้กำกับอย่างแท้จริงสำหรับ เจมส์ คาเมรอน ด้วยผลงานการันตีความสามารถที่ผ่านมาอย่าง เทอร์มิเนเตอร์, ไททานิค, หรืออวตาร ที่กวาดรายได้จำนวนมหาศาลจนเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล และรางวัลอีกมากมายจนตู้ที่บ้านไม่พอเก็บ ล่าสุดคาเมรอนได้ร่วมมือกับทาง เนชั่ลแนล จีโอกราฟิก เพื่อที่จะดำดิ่งลงไปสำรวจยังจุดที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรที่เรียกว่า ชาเลนเจอร์ ดีพ

เจมส์ คาเมรอน ได้ใช้เรือดำน้ำที่มีชื่อว่า ดีพซี ชาเลนเจอร์ ดำดิ่งลงไปเพื่อเก็บข้อมูลของทุุกสิ่งอย่างที่อยู่ใต้ท้องทะเลลึก เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการวิจัยทางวิทยาศาตร์ ทั้งยังถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว โดยได้ใช้เวลาวนเวียนอยู่กว่า 2 ชั่วโมง และอีก 1 ชั่วโมง ณ จุดลึกที่สุดที่แสงแดดไม่อาจส่องถึง น้ำทะเลเย็นจัด อุณภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และแรงกดจากน้ำทะเลมากกว่าบนพื้นผิวถึง 1,000 เท่า
การลงไปยังจุดชาเลนเจอร์ ดีพ ของ เจมส์ คาเมรอน ในครั้งนี้ถือว่าเป็นมนุษย์โลกคนที่ 3 ที่ทำได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องย้อนเวลากลับไปเกือบ 50 ปี จากเรือสำรวจน้ำลึกของกองทัพสหรัฐนามว่า ทรีเอสต์ ที่เคยดำดิ่งลงไปยังจุดลึกที่สุดนี้เพื่อสำรวจในครั้งแรก ด้วยทหารเรือ 2 นาย แต่ก็ไม่สามารถใช้เวลาอยู่ได้นานขนาดนี้ ซึ่งในครั้งนั้นใช้เวลาในการลงไปเพียง 20 นาที เท่านั้น

นอกเหนือจากประโยชน์ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ร่วมมือกับ เนชั่ลแนล จีโอกราฟิก สิ่งที่หลายคนคาดหวังสำหรับการดำดิ่งลงไปของ เจมส์ คาเมรอน ในครั้งนี้คือหวังว่าเขาจะได้วัตถุดิบชั้นดี นำมาสร้างภาพยนตร์คุณภาพมาให้เราได้รับชมกันในอนาคตอีกต่อไป เช่นเดียวกันกับการดำดิ่งลงน้ำลึก 30 กว่าครั้ง ของเขาก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นการหาข้อมูลก่อนที่จะสร้างภาพยนตร์อย่างไททานิคขึ้นมา


วงกลมปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ วงกลมปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ วงกลมปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล
 ( Ice Circle in Bilkal Lake )
Baikal Lake ทะเลสาบไบคาล
Baikal Lake ทะเลสาบไบคาล เป็น ทะเลสาบในร่องเขา และถือว่าเป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก (ในเชิงปริมาตร) และยังเป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่ ลึกที่สุดในโลก ด้วยความลึกกว่า 1,600 เมตร และยังเป็นทะเลสาบที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยอายุกว่า 25 ถึง 30 ล้านปี ทำให้มันมีชั้นตะกอนด้านล่างหนากว่า 6,900 เมตร แต่ สิ่งที่แปลกประหลาด แห่งทะเลสาบไบคาล คือ วงกลมน้ำแข็งปริศนา

รายละเอียดเกี่ยวกับ วงกลมน้ำแข็งปริศนา
วงกลมน้ำแข็งปริศนานี้ ถูกค้นพบโดย นักอวกาศ ที่ถ่ายจากสถานีอวกาศนานาชาติ ที่อยู่สูงจากโลกกว่า 350 กิโลเมตร

วงกลมน้ำแข็ง นี้ ปรากฏขึ้นที่ทะเลสาบไบคาล ใน ไซบีเรีย จำนวน 2 จุด โดย จุดแรกปรากฏบริเวณทางใต้ใกล้ขอบทะเลสาบ ส่วนอีกวงปรากฏบริเวณตอนกลางของทะเลสาบ

วงกลมน้ำแข็งนี้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 กิโลเมตร

วงกลมน้ำแข็งนี้ปรากฏครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 เมษายน จนถึง 27 เมษายน 2009 และหายไปเมื่อน้ำแข็งในทะเลสาบละลาย
นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า วงกลมน้ำแข็งนี้เกิดจาก การปะทุของกระแสน้ำอุ่น ขึ้นมายังด้านบน น้ำอุ่นที่ปะทุขึ้นมาจะละลายน้ำแข็งให้บางลง น้ำแข็งส่วนที่บางลงจะเป็นเป็นสีเข้ม
แต่นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถอธิบายได้ถึงแหล่งที่มา ของ แหล่ง ความร้อนที่ทำให้เกิดการปะทุของกระแสน้ำอุ่น

ตำแหน่งคือ จุดที่เกิด วงกลมปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ วงกลมปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Mayantuyacuแม่น้ำมรณะในตำนานแห่งป่าอะเมซอน


สุดสะพรึง!! "Mayantuyacu" แม่น้ำมรณะในตำนานแห่ง
ป่าอะเมซอน หากสิ่งมีชีวิตพลัดตกลงไปจะตายทั้งเป็น!!!

มีเรื่องลึกลับที่กล่าวขาวถึงแม่น้ำยาว 4 ไมล์ลึกเข้าไปใจกลาง
ป่าอะเมซอน ที่ซึ่งเดือดอยู่ตลอดเวลา แม่น้ำแห่งนี้เป็นตำนานเล่าขานกันมานานในประเทศเปรู 
แต่เมื่อ Andrés Ruzo นักภูมิศาสตร์ได้ยินเข้า กลับคิดว่าปรากฏการณ์นี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะปรากฏการณ์ที่จะทำให้แม่น้ำเดือดนั้น ต้องมีความร้อนจากใต้พิภพขนาดใหญ่มาก ที่สำคัญไปกว่านั้น บริเวณป่าอะเมซอนนั้นไม่มีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับอยู่ในบริเวณนั้น 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2011 Ruzo ก็ได้มีโอกาสเห็นตำนานดังกล่าวเข้าด้วยตาตัวเองแม่น้ำแห่งนี้มีชื่อว่า Mayantuyacu โดยเขาได้ยินตำนานที่ว่านี้ครั้งแรกจากปู่ของเขาที่เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของนักสำรวจชาวสเปน
กลุ่มหนึ่งที่ได้ฆ่าจักรพรรดิพระองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรอินคา 

เรื่องราวของแม่น้ำสายนี้เกิดขึ้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิอินคาองค์สุดท้าย โดยกลุ่มนักสำรวจชาวสเปนได้มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าอะเมซอนเพื่อค้นหาทองคำอินคา และเมื่อพวกเขากลับออกมาจากป่า กลับมีผู้รอดชีวิตไม่กี่คน ต่างก็เล่าถึงประสบการณ์ที่พบเจอมาในป่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่เป็นพิษ งูกินคน และแม่น้ำที่เดือดอยู่ตลอดเวลา
12 ปีต่อมา ในระหว่างทานมื้อค่ำกับครอบครัว Ruzo ได้ยินเรื่องราวนี้อีกครั้งเมื่อป้าของเขาเล่าว่า เธอเคยไปมาแล้ว
ในฐานะนักศึกษาปริญญาเอกด้านภูมิศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Southern Methodist University นั้น Ruzo มีความต้องการอย่างยิ่งที่จะเห็นแม่น้ำที่ว่านี้ด้วยตาของตนเองสักครั้ง

"ผมเริ่มต้นตั้งคำถามว่า แม่น้ำที่เดือดอยู่ตลอดเวลานั้นจะมีจริงๆ หรือไม่ ผมได้ถามเพื่อนที่มหาวิทยาลัย รัฐบาล บริษัทแก๊ส น้ำมัน บริษัทเหมือง และทุกคนตอบเป็นเอกฉันท์ว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้ ซึ่งมันก็เป็นคำตอบที่สมเหตุสมผล เพราะจริงๆ แล้วแม่น้ำที่เดือดอยู่ตลอดเวลานั้นมันมีอยู่จริงๆ ในโลกนี้ เพียงแต่ว่ามันต้องมีภูเขาไฟในบริเวณนั้น ต้องมีแหล่งความร้อนใต้พิภพในบริเวณนั้นเพื่อทำให้น้ำเดือด"

อย่างไรก็ตาม ป้าของเขานั้นยืนยันเป็นหนักแน่นว่า เธอเคยไปมาแล้วจริงๆ หนำซ้ำยังเคยลงไปว่ายน้ำมาแล้วด้วยซ้ำ
แม้ว่าเขาจะยังสงสัยอยู่ แต่ Ruzo ก็ดั้นด้นมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าอะเมซอน โดยการนำทางของป้าของเขา เส้นทางห่างออกไปเรื่อยๆ จากภูเขาไฟที่ใกล้ที่สุด

เขาบอกว่า เขานั้นเตรียมใจที่จะเห็นแม่น้ำในตำนานแห่งป่าอะเมซอนเต็มที่ แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับแตกต่างออกไป แม่น้ำแห่งนี้มีความยาว 4 ไมล์ กว้างสุด 25 เมตร 
และลึกสุด 6 เมตร โดยน้ำในแม่น้ำนั้นร้อนเพียงพอที่จะนำมาชงชาได้

"ถ้าผมเอามือจุ่มลงไปนั้น มันสามารถทำให้มือผมไหม้สามระดับได้ในเวลาไม่ถึงวินาที และผมคงจะเสียชีวิตแน่ๆ ถ้าตกลงไปในนั้น"

ความร้อนของน้ำในแม่น้ำนั้น Ruzo ได้บรรยายให้ฟังว่า
"ผมเห็นสัตว์หลายตัวตกลงไปในแม่น้ำ โดยทุกตัวมีปฏิกิริยาเหมือนกันหมด สัตว์จะถูกต้มทั้งเป็นจากภายใน แม้มันจะพยายามว่ายกลับมาที่ริมฝั่งเพื่อหนีจากแม่น้ำอันร้อนระอุ 
แต่น้ำที่ร้อนจนเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกเริ่มสุก สีผิวจะเริ่มซีดขาวเพราะถูกต้ม จนในที่สุด มันก็จะตายทั้งเป็น"

ปัจจุบันนี้ Ruzo กำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาแม่น้ำแห่งนี้ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย เนื่องจากการรุกล้ำพื้นที่ป่าของบริษัทตัดไม้และการรุกล้ำทางด้านอารยธรรมของมนุษย์

รายการบล็อกของฉัน