ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ใกล้หมดเวลาของมนุษยชาติแล้วน้ำจะท่วมโลก

😁เสียงเตือนครั้งใหญ่!! ใกล้หมดเวลาของมนุษยชาติแล้วน้ำจะท่วมโลก?
ตั้งแต่ในปี 2016 เราคนไทยคงรู้สึกตรงกันว่า ฤดูหนาวครั้งที่ผ่านมานั้นสั้นกว่าทุกๆ ปี อุณหภูมิที่สูงขึ้นในไทยสะท้อนสภาพอากาศที่ร้อนทั่วทั้งโลก ทั้งภัยแล้งรุนแรงในแอฟริกา อากาศร้อนนานและมีท่าทีว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มสะท้อนผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศชัดเจน และใกล้ตัวเราทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆ!

ภาวะโลกร้อนนี้เองได้สะท้อนผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศชัดเจนและเห็นได้ชัด ซึ่งรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของทวีปที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งอย่างทวีปอาร์กติกและแอนตาร์กติกาอย่างเห็นได้ชัด เช่น การ "ละลาย" ของ "แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกใต้" ส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งลาร์เซน ซี (Larsen C) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกมา แตกออกจากแผ่นหลัก จนหลายคนต่างตื่นตกใจว่า นี่อาจเป็น สัญญาณเตือนน้ำจะท่วมโลก??
หิ้งน้ำแข็งขนาดยักษ์ ชื่อ Larsen C ส่วนหนึ่งที่แตกตัวออกมาของ Larsen C ของน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมาคือ 5,300 ตร.กม. ใหญ่กว่ากรุงเทพเกือบ 4 เท่า (กรุงเทพมีพื้นที่ 1,500 ตร.กม.) นอกจากใหญ่แล้ว ยังหนาถึง 350 เมตร สูงกว่าตึกมหานคร ตึกสูงที่สุดของประเทศไทย (ตึกสูง 314 เมตร) ใหญ่และหนาไม่พอ ยังหนักอึ้ง น้ำหนัก 1 ล้านล้านตัน

นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ทำการบันทึกจากดาวเทียมสำรวจขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซา (NASA) ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2017 ที่ผ่านมา น้ำแข็งที่ปกคลุมทั่วอาร์กติก (พื้นที่ในบริเวณขั้วโลกเหนือ) และทวีปแอนตาร์กติกา 
(ทวีปที่อยู่รอบขั้วโลกใต้) เข้าสู่ขั้นละลายอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งได้รับข้อมูลสนับสนุนมาจากศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติ (National Snow and Ice Data Center) ในโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำการสำรวจเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา และพบว่าน้ำแข็งรอบแอนตาร์กติกามีระดับลดลงถึงขั้นต่ำสุดจากบันทึกของการสำรวจผ่านดาวเทียม
ส่วนสาเหตุสำคัญที่น้ำแข็งหายไปนั้น เพราะโลกถูกบันทึกว่ามีสถิติความร้อนเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 3 ปี และเพิ่มความกังวลใหม่ๆ เกี่ยวกับการเกิดภาวะโลกร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งสิ่งที่เป็นกังวลเข้าขั้นวิกฤตคือ ปริมาณการใช้ก๊าซ

คาร์บอนไดออกไซด์ของมนุษย์ ที่มักปล่อยการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลจากการผลิตพลังงานและการขนส่ง ซึ่งตัวเชื้อเพลิงฟอสซิลนี้คือตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศ
โดยปกติแล้วน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติกจะละลายในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน หรือประมาณปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนกันยายน และจะก่อตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว หรือประมาณปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนมีนาคม โดยแผ่นน้ำแข็งจะขยายตัวสูงสุดในรอบปีช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์กับเมษายน
และจากการสรุปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2017 พบว่าน้ำแข็งที่ปกคลุมนี้กลับถูกบันทึกได้ว่ากำลังลดต่ำลงที่สุดในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ว่าพื้นที่แผ่นน้ำแข็งของอาร์กติกจะมีปริมาณสูงสุดเพียง 5.57 ล้านตารางไมล์ หรือ 14.42 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับต่ำสุดที่เคยบันทึก
ไว้เมื่อเดือนมีนาคมปี 2016
นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ยังเผยว่าน้ำแข็งยังมีค่าเฉลี่ยลดลง 2.8% ต่อ 1 ทศวรรษมาตั้งแต่ปี 1979 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มบันทึกสถิติ หรือพูดง่ายๆ คือละลายลงมากที่สุดในรอบ 38 ปี
ขณะที่ตัวเลขของแอนตาร์กติกาในปีนี้ ระดับน้ำแข็งในทะเลในระยะ 815,000 ตารางไมล์ (2.11 ล้านตารางกิโลเมตร) เคยลดลงเหลือน้อยที่สุดอยู่ที่ 71,000 ตารางไมล์ (184,000 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งมีค่าต่ำกว่าการบันทึกข้อมูลของดาวเทียมที่วัดครั้งแรกในปี 1997
    
วอลต์ เมเออร์ (Walt Meier) นักวิจัยของนาซาในส่วนงานวิจัยด้านทะเลน้ำแข็งจากศูนย์การบินอวกาศ Goddard กล่าวว่า "มีน้ำในมหาสมุทรในปริมาณมาก และเราเห็นช่วงเวลาของการเพิ่มขึ้นของน้ำแข็งที่ช้าในช่วงปลายเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน นั่นเป็นเพราะมีปริมาณน้ำจำนวนมากที่ละลายจากการสะสมความร้อน น้ำแข็งเริ่มก่อตัวช้าลงเรื่อยๆ"

"ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน (2016) เป็นต้นมา ปริมาณน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาอยู่ในระดับต่ำสุดจากบันทึกของดาวเทียม" 
นาซาเผย
"ทั้งในทะเลอาร์กติกและแอนตาร์กติกา มีความแปรปรวนมากในแต่ละปี แต่โดยรวมแล้วจนถึงปีที่ผ่านมาอย่างแอนตาร์กติกามีปริมาณน้ำทะเลมากขึ้นทุกเดือน เห็นได้ชัดจากปีที่แล้ว" แคลร์ พาร์กินสัน (Claire Parkinson) นักวิจัยอาวุโสของนาซา Goddard กล่าว

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงไม่แน่ใจว่าค่าต่ำสุดที่วัดได้ในแอนตาร์กติกานี้หมายความว่าอย่างไร เพราะเชื่อว่าการยืนยันถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนั้นจำเป็นจะต้องมีข้อมูลจากหลายแหล่งมายืนยันพร้อมกัน

วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ขั้วโลกเหนืออุ่น จนเป็น นิวนอร์มอล

👽ขั้วโลกเหนืออุ่น จนเป็น "นิวนอร์มอล"
องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศ
เผยถึงอุณหภูมิในขั้วโลกเหนืออุ่นขึ้นต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะปกติไปแล้ว
องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศสหรัฐ หรือ NOAA เผยบันทึกรายงานอาร์กติกประจำปี 2017 เกี่ยวกับภาพรวมปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบริเวณขั้วโลกเหนือ ชี้ว่า อุณหภูมิในขั้วโลกเหนืออุ่นขึ้นต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะปกติไปแล้ว แทนที่จะเป็นปรากฏการณ์ชั่วครั้งชั่วคราว

จากการรวบรวมข้อมูลที่ผ่านมา พบว่าอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นและการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเหนือเกิดขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดอย่างน้อยในรอบ 1,500 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าเดิมจนไม่สามารถกลับไปเป็นขั้วโลกเหนือที่เย็นยะเยือกได้อีกแล้ว ทั้งนี้ น้ำแข็งยิ่งละลายอุณหภูมิก็จะยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากน้ำแข็งที่หายไปจะทำให้พื้นดินได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งก็ยิ่งละลายวนไปเรื่อยๆ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้จะส่งผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาเหนือ ที่บางแห่งถูกน้ำจากน้ำแข็งละลายเข้าท่วมที่อยู่อาศัยจนต้องอพยพย้ายถิ่นเป็นกลุ่มแรกแล้ว
ภาพ...เอเอฟพี

วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ธารน้ำแข็งละลายจนพบศพผู้สูญหาย 75 ปีที่แล้ว

🌍ธารน้ำแข็งละลายจนพบศพผู้สูญหาย 75 ปีที่แล้ว
จุดที่พบศพคู่สามีภรรยาดูมูแลงใต้ธารน้ำแข็งส่วนที่ละลาย
พนักงานดูแลลิฟต์สำหรับสกีรีสอร์ตแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ พบศพชายหญิงที่สวมเครื่องแต่งกายคล้ายคนในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ที่บริเวณธารน้ำแข็งซานฟลิวรอนส่วนที่เริ่มละลายจนหดสั้นลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นสูงขึ้น

จากตรวจสอบพบว่า ศพชายหญิงดังกล่าวคือนายมาร์เซแลง และนางฟรองซีน ดูมูแลง คู่สามีภรรยาที่สูญหายไปเมื่อ 75 ปีก่อน ขณะออกไปเลี้ยงวัวในเทือกเขาแอลป์ โดยนอกจากศพของทั้งสองแล้วยังพบสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ตายเป็นถังน้ำ ขวดแก้ว เป้สะพายหลังและหนังสือ รวมทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผู้ตายรวมอยู่ด้วย

เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า ทั้งคู่พลัดตกลงไปในรอยแยกของธารน้ำแข็งเมื่อเดือนสิงหาคมปี 1942 โดยได้พบศพของทั้งสองที่ธารน้ำแข็งในเทือกเขาบริเวณสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,600 เมตร
เจ้าหน้าที่ระบุว่าจะมีการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลด้วยดีเอ็นเอจากศพเพื่อยืนยันอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามลูกทั้ง 7 คนของผู้ตายซึ่งต่างก็มีอายุมากแล้วบอกว่า ดีใจและโล่งใจเป็นที่สุดที่ได้พบศพของพ่อแม่ซึ่งพวกตนเฝ้าตามหามาตลอดชีวิต บุตรสาวคนเล็กของผู้ตายซึ่งขณะนี้มีอายุ 79 ปีบอกว่า กำลังวางแผนจัดงานศพที่สมเกียรติให้กับพ่อและแม่อยู่
พบสิ่งของเครื่องใช้และเครื่องแต่งกายของผู้เสียชีวิตด้วยจำนวนหนึ่ง
นางสาวอูดรี ดูมูแลง บุตรคนหนึ่งของผู้ตายบอกว่า ตามปกติแล้วแม่ของเธอซึ่งเป็นครูมักจะไม่ค่อยออกไปเดินในหุบเขากับพ่อของเธอบ่อยนัก เนื่องจากตั้งครรภ์หลายครั้งติดต่อกันอยู่เป็นเวลานานหลายปี และทางเดินในหุบเขาก็เดินได้ลำบาก ตัวเธอเองเคยออกไปปีนธารน้ำแข็งมาแล้วถึง 3 ครั้งเพื่อตามหาพ่อแม่ แต่ก็ไม่พบ

เธอบอกด้วยว่า สองเดือนหลังความพยายามค้นหาตัวคู่สามีภรรยาดูมูแลงในปี 1942 ล้มเหลว ลูกที่ยังเล็กของพวกเขาทั้ง 7 คน ได้ถูกนำตัวไปมอบให้ครอบครัวอื่นรับอุปการะ
"ฉันตั้งใจว่าจะแต่งสีขาวในงานศพของพ่อแม่แทนสีดำ เพราะว่าสีขาวเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งความหวังของฉันที่ไม่เคยหมดไปและเชื่อมั่นเสมอว่าวันหนึ่งต้องได้พบพวกท่าน" นางสาวดูมูแลงกล่าว

นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศชี้ว่า ภาวะโลกร้อนทำให้ธารน้ำแข็งแห่งต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มละลายและหดสั้นลง จนมีการค้นพบซากศพของผู้ที่สูญหายไปนานหลายปีในเทือกเขาแอลป์ของยุโรปหลายครั้งเมื่อไม่นานมานี้

รายการบล็อกของฉัน